วันที่ 29 ตุลาคม 2568 สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ผู้แทน เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ได้มอบถวาย สาส์นเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช พร้อมมอบกล่องแก้ว ภายในบรรจุโมเดลรูปพระเจดีย์ทอง 4 รัชกาล แก่ สมเด็จพระสันตปาปาเลโอที่ 14 เนื่องในโอกาสทรงได้รับการสถาปนาฯ และ งานพิธีฉลองครบรอบ 60 ปี สาส์น Nostra Aetate วันที่ 29 ตุลาคม 2568 ณ หอประชุมเปาโลที่ 6 นครรัฐวาติกัน ประเทศอิตาลี เป็นการเยือนและสานต่อความสัมพันธ์สองศาสนา ที่มีมานานแต่ครั้งอดีตถึงปัจจุบัน
ภายในงานฯ มีคณะสงฆ์จากประเทศไทย และจากทวีปยุโรป คณะจากสถาบันพระปกเกล้า และแขกผู้มีเกียรติจากประเทศไทย ได้เข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ด้วย




สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงเป็นประธานในพิธี “เดินร่วมกันด้วยความหวัง” (Walking Together in Hope) ซึ่งเป็นการฉลองครบรอบ 60 ปี ของ Nostra aetate ธรรมนูญว่าด้วยการเสวนาศาสนาระหว่างกันของสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง
เมื่อ 60 ปีที่แล้ว หลังการประกาศใช้ Nostra Aetate สังฆธรรมนูญของสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง ว่าด้วยความสัมพันธ์ของพระศาสนจักรกับศาสนาที่ไม่ใช่คริสต์ “เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังสำหรับการเสวนาศาสนาระหว่างกันได้ถูกปลูกลง”
พระองค์ตรัสอีกว่า “วันนี้ การปรากฏตัวของท่านทั้งหลายเป็นประจักษ์พยานว่า เมล็ดพันธุ์นี้ได้เติบโตเป็นต้นไม้ที่ทรงพลัง ซึ่งกิ่งก้านของมันแผ่ขยายไปไกลและกว้างขวาง มอบที่พักพิงและให้ผลอันอุดมสมบูรณ์ของความเข้าใจ มิตรภาพ ความร่วมมือ และสันติสุข”
พระองค์ทรงกล่าวแก่บรรดาผู้แทนศาสนาต่าง ๆ ของโลก สมาชิกคณะทูตานุทูตที่ประจำอยู่ ณ สันตะสำนัก และบรรดาเจ้าหน้าที่ของวาติกันและพระศาสนจักร ที่มุ่งมั่นในการเสวนาศาสนาระหว่างกัน ซึ่งได้มาชุมนุมกัน ณ หอประชุมเปาโลที่ 6 เพื่อฉลองวาระครบรอบของการประกาศใช้สังฆธรรมนูญทางประวัติศาสตร์ของสภาสังคายนาฯ นี้

Nostra aetate “ได้เปิดตาของเราให้เห็นถึงหลักการที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง นั่นคือ การเสวนาไม่ใช่ยุทธวิธีหรือเครื่องมือ แต่เป็นวิถีชีวิต – เป็นการเดินทางของจิตใจที่เปลี่ยนแปลงทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ฟังและผู้พูด”
การฉลองครบรอบ คือ “เดินร่วมกันด้วยความหวัง” ทรงตรัสว่า “เราดำเนินในหนทางนี้” โดยไม่ประนีประนอมความเชื่อของเรา แต่โดยการยึดมั่นในความเชื่อมั่นของเรา การเสวนาที่แท้จริง “ไม่ได้เริ่มต้นที่การประนีประนอม แต่เริ่มต้นที่ความเชื่อมั่น – ในรากเหง้าอันลึกซึ้งของความเชื่อของเราเอง ซึ่งให้พละกำลังแก่เราที่จะเอื้อมไปหาผู้อื่นด้วยความรัก”
สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงรำลึกถึงผู้คนมากมาย จากทุกความเชื่อที่ได้ทำงานในช่วงหกสิบปีที่ผ่านมา “เพื่อให้ Nostra Aetate มีชีวิตขึ้น” จนกระทั่ง ได้มอบชีวิตของตนเอง “มรณสักขีเพื่อการเสวนา ผู้ที่ต่อต้านความรุนแรงและความเกลียดชัง” พระองค์ตรัสว่า เรามาถึงจุดที่เราอยู่ทุกวันนี้ “ได้ด้วยความกล้าหาญ หยาดเหงื่อ และการเสียสละของพวกเขา”
ทรงยืนยันว่า สาส์นของ Nostra aetate ยังคง “มีความหมายอย่างยิ่งในปัจจุบัน” โดยทรงย้ำถึงบทเรียนจากสภาสังคายนาฯ ที่ว่า : มนุษยชาติกำลังรวมกันเป็นหนึ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ มนุษย์ทุกคนอยู่ในครอบครัวมนุษย์เดียวกัน ที่มีต้นกำเนิดเดียวและเป้าหมายเดียว ศาสนาทั้งหมดพยายามตอบสนองต่อ “ความไม่สงบของจิตใจมนุษย์” และ พระศาสนจักรคาทอลิก “ไม่ได้ปฏิเสธสิ่งใดที่เป็นจริงและศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาเหล่านี้”


สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ยังทรงรำลึกถึงที่มาของสังฆธรรมนูญนี้ ซึ่งเกิดจากความปรารถนาที่จะมีเอกสารที่บรรยายถึง “ความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างพระศาสนจักรกับศาสนายูดาย” – ความปรารถนาที่บรรลุผลในบทที่สี่ของ Nostra aetate ซึ่งเป็น “หัวใจและแกนกลางที่ก่อให้เกิดธรรมนูญทั้งหมด” บทนั้น พระสันตะปาปาทรงกล่าวว่า มันนำไปสู่บทสุดท้าย ซึ่งสอนว่า “เราไม่สามารถเรียกขานพระเจ้า พระบิดาของทุกคนได้อย่างแท้จริง หากเราปฏิเสธที่จะปฏิบัติต่อทุกคนที่ถูกสร้างตามภาพลักษณ์ของพระเจ้าอย่างฉันพี่น้อง”
ในช่วงท้ายของพระดำรัส สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเตือนบรรดาผู้นำศาสนาว่าพวกเขา “มีหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ร่วมกัน: คือการช่วยให้ประชากรของเราหลุดพ้นจากพันธนาการของอคติ ความโกรธ และความเกลียดชัง; ช่วยให้พวกเขายกระดับตนเองเหนือความเห็นแก่ตัวและการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง; ช่วยให้พวกเขาเอาชนะความโลภที่ทำลายทั้งจิตวิญญาณมนุษย์และแผ่นดินโลก”
“ด้วยวิธีนี้” พระองค์ตรัสว่า “เราสามารถนำประชากรของเราให้กลายเป็นประกาศกแห่งยุคสมัยของเรา : เป็นเสียงที่ประณามความรุนแรงและความอยุติธรรม รักษาความแตกแยก และประกาศสันติสุขแก่พี่น้องชายหญิงของเราทุกคน” พระองค์ทรงย้ำเตือนพวกเขาถึง “ภารกิจอันยิ่งใหญ่” ที่ได้รับมอบหมาย: “คือการปลุกเร้าสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในชายและหญิงทุกคน” นำความหวังมาสู่มนุษยชาติ
“เพื่อนๆ ทั้งหลาย นี่คือเหตุผลที่เรามาชุมนุมกัน ณ ที่แห่งนี้” พระองค์ตรัส “โดยแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ในฐานะผู้นำศาสนา ที่จะนำความหวังมาสู่มนุษยชาติที่มักจะถูกล่อลวงให้สิ้นหวัง”
สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงจบท้ายพระดำรัสด้วยพระวาจาของสมเด็จพระสันตะปาปานักบุญยอห์น ปอลที่ 2 ซึ่งตรัสที่เมืองอัสซีซีในปี ค.ศ. 1986 ว่า : “หากโลกจะดำเนินต่อไป และชายและหญิงจะอยู่รอดในโลกนี้ได้ โลกก็ไม่อาจขาดการอธิษฐานไปได้” ดังนั้น พระองค์จึงทรงเชิญชวนทุกคนให้หยุดนิ่งพร้อมกันในการภาวนาเงียบๆ ด้วยบทวิงวอนว่า : “ขอให้สันติสุขลงมาเหนือเราและเติมเต็มจิตใจของเรา”


สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 หรือพระนามเดิม รอเบิร์ต ฟรานซิส พรีโวสต์ เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1955 ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอย สหรัฐอเมริกา และทรงบวชเป็นนักบวชในปี ค.ศ. 1982 พระองค์ได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปา เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 หลังจากที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสสิ้นพระชนม์ ซึ่งทำให้พระองค์กลายเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกจากสหรัฐอเมริกาและเปรู รวมถึงพระองค์แรกจากทวีปอเมริกาเหนือ และพระองค์แรกจากคณะนักบุญออกัสติน
พระองค์ทรงเลือกพระนาม “เลโอ” เพื่อสะท้อนถึงแนวคิดคำสอนทางสังคมแบบคาทอลิกที่เน้นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และการสร้างประโยชน์ส่วนรวมต่อสังคม พระองค์ได้ประกอบพิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกในฐานะพระสันตะปาปาเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 และพิธีสมณภิเษกสมเด็จพระสันตะปาปาได้จัดขึ้นที่จัตุรัสนักบุญเปโตรเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2025
















